หลังจากสอบถามกับพนักงานในบังกะโลว่า หมู่บ้านไปทางไหนแล้ว เราก็เริ่มออกเดินทางท่องไป เพื่อไปซื้อยาสระผม ขนม และน้ำ เราตกลงกันว่า จะไม่กินข้าวในบังกะโลกันจะดีกว่า เพราะอยู่กันหลายวัน จะโดนกันหลายพัน ก็เลยไปหาแหล่งร้านขายอาหารในหมู่บ้านจะดีกว่า ออกจากด้านหลังบังกะโล เดินเท้าเข้าป่ายางไปประมาณ กิโลครึ่ง ก็ถึงย่านที่พักอาศัย กว่าจะถึงร้านอาหารที่ฝากท้องก็ประมาณ 2 กิโล
ทางเดินบางช่วงยังเดินกันง่าย ๆ อยู่
บางช่วงก็ดูทะมึนทึมเข้าป่ากันไป
ระหว่างทางก็ศึกษาชีวิตสัตว์กันไปตามเรื่องตามราว มดอะไรไม่รู้ ไม่เคยเห็นเลยถ่ายไว้เล่น ๆ
ระหว่างทางมีโกฎที่เค้าเก็บกระดูกอยู่ด้วย ไม่กล้าถ่ายรูปมา กลัวติดเจ้าของมาด้วย ลองคิดคำนวณระยะทางในการเดินดู ไป–กลับวันละ 4 กิโล พัก 4 วัน ใครคูณเลขเก่งก็คูณให้หน่อย นี่ฉันเดินเท่ากับระยะทางของทั้งเดือนรวมกันเลยนะเนี่ย (เว่อร์อีกแระ อาเจ๊นี่)
เดิน..เดิน..เดิน..เดิน..
ก้มหน้า..ก้มตา..เดิน ไปเรื่อย ๆ
ระหว่าเดินก็ศึกษาเส้นทางหนีภัย “สึนามิ” ไปด้วย ศึกษาไปก็เท่านั้น ฉันหนีไม่ทันหรอก แค่เดินก็จะตายแล้วววว
เดินไปเรื่อย ๆ จนเจอร้านที่ขายอาหารตามสั่ง กินอะไรไปมั่งจำไม่ได้ แถมไม่ได้ถ่ายรูปมาอีกด้วย
ราคาไม่แปะ แต่หลังจากที่กินเป็นกรณีศึกษาทุกวัน ประมาณการว่า 50 บาท
อาหารก็ประมาณนี้แหล่ะค่ะ รสชาดดี เลยผูกปิ่นโตกันที่นี่ทุกวันเลย
ก่อนออกจากบ้านเราก็แอ๊บสวยกันก่อน เพราะขากลับจะไม่ใช่สภาพนี้แล้ว
แอ๊บ 2 แต่งแบบนี้เดินไปในหมู่บ้าน เค้าก็นึกว่า น้องยุ่นหลงมา โฮะ ๆ
นอกจากชีวิตที่ต้องหาเช้าเอากลับมากินค่ำที่เล่าให้ฟังไปแล้ว ช่วงอื่น ๆ ของเราก็สนุกสนานกันตามประสาคนรักธรรมชาติค่ะ
ศึกษาชีวิตสัตว์ทะเล อาเจ๊กำลังเอาไม้แหย่รูปู (ปูเยอะมากกก)
เย้!! จับได้แล้ว (ความสามารถเฉพาะตัว อิอิ..)
หน้าตามันเป็นแบบนี้นี่เอง เห็นแล้วนึกถึงส้มตำปูม้า.. (มะช่าย.. จับมาศึกษาเฉย ๆ เสร็จแล้วปล่อยไป) 555
ตัวนี้มันตายแล้ว.. เราเอามาจัดฉาก (ของจริงถ่ายเค้าไม่ทันร๊อกก)
อันนี้ปูเสฉวน ขุดขึ้นมาได้จากในทะเล (ฝีมืออาเจ๊ตามเคย)
ทีแรกมันไม่ยอมให้ถ่าย เลยหลอกมันว่าจะปล่อยลงทะเล มันเลยยอมเผยโฉมหน้าออกมา
ภาพทะเลยามเย็น ตะวันตกดิน (1)
ภาพทะเลยามเย็น ตะวันตกดิน (2)
3-4 วันที่อยู่ที่เกาะเป็นเวลาแห่งการพักผ่อนจริง ๆ เพราะเรามีเวลาว่างมากมายจนไม่รู้จะเอาไปฆ่าทิ้งที่ไหนกันดี อ่านหนังสือบ้าง ถักนิตติ้งบ้าง เล่นน้ำทะเลบ้าง บนเกาะก็สงบ ต่างจากชายหาดอื่น ๆ ที่มีนักท่องเที่ยวเยอะ ๆ ฝรั่งที่มาพักที่นี่ บ้างก็มาเป็นคู่ สองคนตา–ยาย บ้างก็มาเดี่ยว (ป้าบ้านตรงข้าม มาเดี่ยว แถมยังแต่งตัวแนวมาก) มาแบบเป็นครอบครัวก็มี แต่ทุกคนก็อยู่กันอย่างสงบ
ป๋าเจมส์: ดูฝรั่ง 2 คนนั้นสิ มาเที่ยวกันสองคนตายาย
เจ๊ยุ้ย: ลูกเค้าคงโตกันหมดแล้วเลยมาเที่ยวกันแค่สองคน
ป๋าเจมส์: แล้วป้าคนนั้นล่ะ มาคนเดียว
เจ๊ยุ้ย: อืมมมมมม… ลูกกะสามีเค้าก็คงโตกันหมดแล้วเลยต้องมาคนเดียว
ฟ้าไม่ให้เรามีความสุขมากเกินไปหรอก เพราะพอคืนที่ 2 เจ๊ยุ้ยก็มีอาการไข้–ตัวร้อน แต่ก็ไม่หนักหนาอะไรนัก เช้ามาก็ตะลอน ๆ ได้ต่อ แต่พอวันที่ 3 อาเจ๊เกิดอาการสตรอเบอรี่ชิปหลังจากเล่นน้ำทะเล คือมีจุดสีแดง ๆ ขึ้นตามตัว คันคะเยอไปหมด (ขอให้นึกถึงไอศครีมช๊อคโกแลตชิป แต่เปลี่ยนจากช็อคโกแลตเป็นสตรอเบอรี่แทน) พอวันที่ 4 ก็ยังไปตากฝนเล่นน้ำตอนเที่ยง ๆ อีก เลยพาลเป็นไข้ ตอนเย็นป๋าเจมส์ก็เลยต้องวิ่งมาราธอนเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อซื้อยามาทาและยากินให้อาเจ๊ มาราธอนเพราะกลัวผีหรือเปล่าก็ไม่รู้ กลับมาเหงื่อโทรมตัวเลย ทาไปก็ขำไป เอากระจกมาส่องให้เราดูให้ช้ำใจอีก positive thinking อีกครั้ง เอาน่า.. มอง ๆ ไปมันก็ดูน่ากินดีเหมือนกัน
เที่ยวเล่นอยู่บนเกาะจนถึงเวลาต้องอำลาจากความสงบ กลับสู่ความวุ่นวายของโลกแห่งความจริงกันอีกครั้ง เรือเครื่องที่ออกจากเกาะประมาณ 8 โมงครึ่งถึง 9 โมง เพื่อไปต่อเรือของท่าเรืออีกทีเหมือนตอนขามา เราก็ป่วยเข้าบรรยากาศการลาจากซะอีกป๋าเจมส์บอกว่า งานนี้มีนัดล้างตาแน่ หยุดสงกรานต์จะมาแบบ full ออฟชั่น แพยาง เปล ชุดอุปกรณ์แค้มปิ้ง แบบทำกินกันเองเสร็จสรรพ จะได้ไม่ต้องเดินป่าหาของกินกันอยู่
อยู่มาตั้งหลายวัน เพิ่งมีวันนี้แหล่ะที่รู้สึกว่าอากาศเย็น
ฉากสุดท้ายของการลาจากเกาะอันเงียบสงบ บ๊าย..บาย..
นั่งเรือกลับเข้าแผ่นดิน เราก็ขาถึงพื้นอีกครั้งตอนประมาณ 10 โมงครึ่ง แต่หลังจากตรวจสอบเที่ยวรถที่จะเดินทางกลับกรุงเทพแล้วมีประมาณ หกโมงครึ่งโน่นแน่ะ ส่วนของป๋าไม่มีปัญหาเรื่องรถ เพราะไปแค่สุราษฎร์ แต่มีรถเที่ยวสุดท้ายตอนสี่โมงเย็น เราก็เลยไปที่หาดนพรัตน์ธารากันต่อเพื่อรอเวลารถออก บรรยากาศแตกต่างกับบนเกาะกันอย่างสิ้นเชิง คนเยอะมากแล้วของกินก็กินไม่ได้เลย นอนเล่นอ่านหนังสือไปได้สักพัก ฝนก็ตกลงมาให้เปียกซ่กกันเข้าไปอีก อะไรจะซวยขนาดนี้ ป่วยอยู่ด้วยนะเนี่ย เสื้อแขนยาวตัวเดียวที่กะจะเอาไว้ใส่บนรถก็มีอันเป็นไปก่อนเจ้าของซะอีก หลังฝนตกเราก็ล่าถอยกลับมาที่ บขส. กระบี่ หาที่นั่งฆ่าเวลาเพื่อรอรถเป็นร้าน คอฟฟี่ชอปเล็ก ๆ ตรงกันข้ามกับ บขส. สั่งอาหารมากินกันแก้เก้อ
สปาเก็ตตี้ไก่มื้อสุดท้ายที่กระบี่
และสเต็กหมูดูอลังการ
เจ้าของร้านใจดีมาก ๆ แถมยาลดน้ำมูกและพาราให้อีก 2 ชุด เมื่อป๋าเจมส์ขอยืมจักรยานเพื่อปั่นไปซื้อยาให้เรา ขณะที่ฝนตกลงมาอีกรอบ พอสี่โมง ป๋าเจมส์ก็แยกไปขึ้นรถกลับสุราษฎร์ ส่วนเราก็นั่งต่อสักเกือบ 5 โมงครึ่ง ร้านจะปิดก็มานั่งรอต่อที่ บขส. ยังดีที่รถมาประมาณหกโมงนิด ๆ และออกตรงเวลาดี ถึงสายใต้ตอนตี 5 สะบักสะบอมกลับบ้านกันเลยทริปนี้
สวัสดี กระบี่ 2553
น่ากินจัง งุงิๆ